WELCOME

ยินดีต้อนรับ สู่ KhunPlaiR







วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำมันรำข้าวทางเลือกใหม่ของสุขภาพ


น้ำมันรำข้าวเป็นน้ำมันทางเลือกให้กินสลับกับน้ำมันพืชชนิดอื่น นักโภชนาการแนะว่า ไม่ควรกินหรือปรุงอาหารด้วยน้ำมันชนิดเดียว เช่น ในครัวที่บ้านควรมีน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน หมุนเปลี่ยนกันไปตามวิธีการปรุงอาหาร
น้ำมันรำข้าว ได้รับความนิยมและน่าส่งเสริม เพราะบ้านเราปลูกข้าวเป็นหลักอยู่แล้ว เมื่อนำข้าวเปลือกไปสีจะมีรำข้าว ที่ให้คุณค่าโภชนาการสูงสุดโดยเฉพาะจากข้าวกล้อง มีไขมันอิ่มตัวน้อยเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่น มีสารอาหารและวิตามินหลายชนิด เช่น แกมม่า-โอรีซานอล และกรดโอเลอิค หรือโอเมก้า-9 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ต้านการอักเสบ ป้องกันแสงแดด
น้ำมันรำข้าวยัง มีวิตามินอีสูง ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงระบบประสาท สมอง และบำรุงผิว คุณสมบัติเด่นอีกอย่างคือ มีปริมาณไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น และมีกรดไขมันดีต่อร่างกาย ช่วยคงระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีให้สมดุล ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ปรับสมดุลฮอร์โมน ป้องกันโรคเบาหวาน ข้อมูลใหม่เพิ่มเติมว่าน้ำมันรำข้าวสกัด มีโอเมก้า-3 ป้องกันโรคสมองเสื่อม โอเมก้า-3 วิตามินอี และสารแกมม่า-โอริซานอล จัดอยู่ในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และมีโปรวิตามินเอ ป้องกันโรคที่เกิดจากสายตา
ปัจจุบันมีน้ำมันรำข้าวสกัด ผสมกับจมูกข้าวหรือวีทเจิร์ม บรรจุเป็นอาหารเสริม มีหลายยี่ห้อ ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อนซื้อ มีงานวิจัยระบุว่า สารแกมม่า-โอริซานอล ในรำข้าวและจมูกข้าวนั้นจะสลายตัวไป หากขัดสีข้าวเกิน 24 ชม. ดังนั้นแหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต ถ้าแน่ใจว่าผลิตจากกรรมวิธีปลอดภัย รักษาสารอาหารไว้ได้ การกินหรือใช้น้ำมันรำข้าวปรุงอาหารน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ บ้านเราผลิตได้ เป็นน้ำมันสุขภาพราคาย่อมเยา
น้ำมันดี แต่ของทอดนานๆ กินบ่อยๆ ไม่ดีนัก ของอร่อยบางทีก็ไม่ควรกินบ่อย กินน้อยๆ พออร่อยเพื่อสุขภาพ ท่องเอาไว้...
ที่มาข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ

10 วิธีการกินอย่างฉลาด


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย

ประโยชน์จากโยเกิร์ตที่คุณอาจยังไม่รู้


โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้
คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ต มีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง

ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก

เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดี ขึ้น
การทานโยเกิร์ตที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการ แต่งกลิ่น แต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี

ที่มา : วิชาการดอทคอม

น้ำมะพร้าว... มีประโยชน์มากกว่าที่คิด


น้ามะพร้าวอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมะพร้าว ถือ เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ(Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีก ด้วย

ชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะ ช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวัน ยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
ช่วย ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิว พรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย(คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
สปอร์ตดริ๊งค์ จากธรรมชาติ เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้อง ร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์(Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ด้วย
น้ำมะพร้าวดื่มได้ ทุกวัน ทุกเพศทุกวัยเพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวานไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้วยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือ กันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลังบำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลางไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ได้
น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ คุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ


ที่มา : variety.teenee.com

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แอ็ปเปิ้ลหลากสีต้านโรค

ด้วยรูปร่างน่าตาที่น่ารัก กลิ่นหอม รสชาติอร่อย แถมมีประโยชน์ให้ได้พูดถึงกันอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้แอ๊ปเปิ้ลครองใจสาวๆ หลายคน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า แอ๊ปเปิ้ลแต่ละสีนั้นให้ประโยชน์ต่างกันอย่างไร


แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ “Red delicious” ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ
แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอ๊ปเปิ้ลพันธุ์ “Fuji” นั้น มี ฟิโนลิก มากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย
แอปเปิ้ลสีเขียว รส เปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็มีดี ไม่แพ้ใคร เพราะการกินแอ๊ปเปิ้ลสีเขียว อย่างพันธุ์ “Granny Smith” นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี
แอปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอ๊ปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ “Golden Delicious” มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากชีวจิต

ด้านมืดของนมวัว


ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์รณรงค์ให้คนเลิกดื่มนมอย่างจริงจัง การวิจัยพบว่านมทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ หอบหืด ฉี่รดที่ นอน เลือดกำเดา ปวดหัว ไซนัสอักเสบ ฯลฯ


นมทำให้ร่างกายสูงใหญ่จริง แต่ไม่ได้เป็นเพราะแคลเซียม สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormone ของสัตว์หรือฮอร์โมนที่เกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตของวัว คนจะมีน้ำหนักเพิ่ม 3กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3เดือนหลังคลอด แต่ลูกวัวนั้น น้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัม ในเวลาเท่ากัน เพราะฉะนั้นสรีระโครงสร้างทั้งหมด และความต้องการอาหารนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
วัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60กิโลกรัม การให้เด็กดื่มนมวัว ก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแกเด็ก ผลคือเด็กมีโครงสร้างที่ผิดปกติไปจากที่เด็กควรจะเป็น และโดยปกติแล้ว ลูกวัวรับประทานนมแค่ 1ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบปี
ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตน และในที่สุด โรคต่างๆที่กล่าวข้างต้นก็จะเกิดขึ้นแต่อันตรายนี้จะเห็นได้ช้า ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี
อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ออทิสติก หรือโรคสมาธิสั้น เด็กจะไม่อยู่เฉย เพราะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเสมอจากสารกระตุ้นที่มีอยู่ในนมวัว เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คลอดออกมามันจะต้องวิ่งได้ เพื่อที่จะวิ่งหนีศัตรู เช่น หมาป่า เสือ สิงโต
ฉะนั้นในนมวัวจึงมีสารที่จะทำให้ลูกวัวตื่นตัวตลอดเวลา เด็กที่ดื่มนมวัวจึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้ เหมือนอยู่ในป่า การถูกกระตุ้นเกินกว่าเหตุเป็นอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของเด็กและผู้ใหญ่
ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้จากนมวัว คือโปรตีนและแคลเซียม ความจริงที่ควรทราบก็คือโปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก และแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3 แก้ว ให้ปริมาณแคลเซียมเท่ากับหัวปลาทูเพียง 1หัวเท่านั้น
นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนมีไว้ให้คนกิน คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนมข้ามสายพันธุ์ และกินอย่างต่อเนื่อง จึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย
ปัจจุบัน พบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ คือนมวัว สาเหตุของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุ คือนมวัว แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการดังกล่าว ถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่อง หลังจากให้หยุดดื่มนมแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้หญิงนั้น นมถั่วเหลือง เหมาะที่สุด เพราะในนมถั่วเหลืองนอกจากจะได้โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องแล้ว ในนมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียม และที่สำคัญมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณดี โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน ซึ่งปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลงนั้น การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้โอกาสที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ในวัยใกล้หมดประจำเดือนลดน้อยลง ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือ วันละหนึ่งแก้ว และหากจะให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรดื่มในเวลาที่ท้องว่างคือก่อนหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง
ควรดื่มในเวลาท้องว่าง เพราะในนมถั่วเหลือจะมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงมากฉะนั้นถ้ากินพร้อมมื้อ อาหารจะทำให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารในมื้อนั้นๆ ตกลง
อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองอาจไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายดื่มทุกๆ วัน เนื่องจะการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้กับผู้ชายในปริมาณมากเกินไปจะส่งผลต่อการทำงานของ ฮอร์โมนเพศชายทำ ให้ผลิต สเปิร์มน้อยลงและมีลูกยาก

ขอขอบคุณข้อมูลจากหมอบาทเดียวดอทคอม

กินต้านปวดประจำเดือน

สาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเรา ปวดท้องเวลามีเมนส์ก็เนื่องมาจากสารพรอสตาแกลนดินส์ (ชนิด PG2) ซึ่งสร้างจากไขมันที่สะสมในเซลล์ผนังมดลูก สารพรอสตาแกลนดินส์เกี่ยวข้องกับการอักเสบหดตัวของกล้ามเนื้อและของหลอด เลือด การแข็งตัวของเลือดและอาการเจ็บปวด



ก่อนที่ประจำเดือนจะมาเซลล์เยื่อบุผนังมดลูกจะสร้างสารพรอสตาแกลนดินส์เป็น ปริมาณมาก และระหว่างที่มีประจำเดือน เซลล์เหล่านั้นจะฉีกขาดและปลดปล่อยสารพรอสตาแกลนดินส์ออกมา ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดในมดลูกและทำให้กล้ามเนื้อในมดลูกเกิดการบีบ ตัว จึงทำให้เกิดอาการปวด สารพรอสตาแกลนดินส์บางส่วนจะเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเดินได้
นักวิจัยพบว่า หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือนจะมีระดับสารพรอสตาแกลนดินส์ที่ผลิตจากเซลล์ เยื่อบุมดลูกและในเลือดสูงกว่าหญิงที่ไม่ปวดประจำเดือน ผู้หญิงที่ทนต่อการปวดเมนส์ไม่ไหวก็อาจจะต้องพึ่งยาแก้ปวด หรือหยุดงานนอนพักอยู่กับบ้านโดยมีกระเป๋าน้ำร้อนบรรเทาอาการปวด ยาแก้ปวดเป็นยาประเภทต้านการอักเสบที่ไม่มีสเตียรอยด์ (nonsteroidal-inflammatory drugs) ช่วยลดระดับสารพรอสตาแกลนดินส์ จึงใช้แก้ปวดประจำเดือนได้ ส่วนผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดอาจจะมีปัญหาปวดเมนส์น้อย เพราะยาคุมกำเนิดจะลดการเจริญของเซลล์ผนังมดลูก ทำให้ผลิตสารพรอสตาแกลนดินส์ลดลง อาการปวดก็จะลดลงตาม
อาหารมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน อาหารที่เรากินจะมีผลต่อการปรับสมดุล อาหารบางชนิดมีผลทำให้ระดับฮอร์โมนสูงขึ้น บางชนิดมีผลให้ลดลง อาหารไขมันทำให้ระดับเอสโตรเจนสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไขมันชนิดใดก็ตาม ถ้าเราลดปริมาณไขมันในอาหาร ระดับเอสโตรเจนจะลดลงอย่างชัดเจนภายในเดือนแรก นักวิจัยโรคมะเร็งจึงให้ความสนใจอย่างมากกับปรากฏการณ์นี้ เพราะเอสโตรเจนเป็นตัวที่กระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็ง การลดระดับเอสโตรเจนในเลือดจะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมไปด้วย
นักวิจัยพบว่า อาหาร มังสวิรัติไขมันต่ำไม่เพียงแต่ จะช่วยลดอาการและความรุนแรงของอาการปวดเมนส์จาก 3.9 วันเหลือ 2.9 วัน ยังลดอาการก่อนมีประจำเดือนอื่นๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง บวม หงุดหงุด ได้อย่างชัดเจน

วิธีการปรับเปลี่ยนอาหารต้านการปวดเมนส์
เริ่มลงมือปฏิบัติการ 14 วันก่อนวันครบรอบเดือนโดยปรับการบริโภคอาหารดังนี้
1. ลดไขมัน ลดเนื้อสัตว์ เลี่ยงไขมันทุกชนิด รวมทั้งเนื้อสัตว์บก น้ำ สลัดชนิดครีม อาหารทอดทุกชนิด 2. สำหรับผู้ที่ไม่อยากงดเนื้อสัตว์ เลือกปลาและไข่แทน มีรายงานการวิจัยว่า กรดโอเมก้า 3หรือน้ำมันปลาช่วยลดอาการปวดเมนส์ได้ และการเสริมน้ำมันปลาช่วยลดปริมาณเมนส์ในสาวๆที่เวลาเมนส์มาเหมือนท่อน้ำแตก 3. เพิ่มอาหารที่มีกากใยจากผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี ใย อาหารจะช่วยร่างกายลดเอสโตรเจนส่วนเกิน ตับจะดึงเอสโตรเจนจากกระแสเลือด ผ่านท่อน้ำดีเข้าไปในลำไส้เล็ก ซึ่งจะมีใยอาหารทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำคอยดูดซับและนำไปขจัดออกพร้อมของเสีย ยิ่งกินใยอาหารมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เอสโตรเจนถูกขจัดออกจากระบบมากขึ้น 4. ลดเค็ม กินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็มให้น้อยลง อาจช่วยลดอาการอืด บวมฉุน้ำในผู้หญิงบางคนได้ 5. ลดกาเฟอีน น้ำตาล และแอลกอฮอล์ 6. กินอาหารแคลเชียมสูง โดยบริโภคแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัมช่วยลดปัญหาการปวดเมนส์ ส่วนอาหารแคลเซียมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยหรือขาดไขมัน โยเกิร์ต เนยแข็ง ผักใบเขียวจัด เต้าหู้ เป็นต้น
สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด แม้จะไม่มีข้อมูลการวิจัยที่ชัดเจน แต่ก็มีการใช้มานานในด้านแผนโบราณในการลดอาการปวดเมนส์ สมุนไพรบางชนิดมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมน ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย

1. อีพีโอหรือกรดแกมมาลิโนเลนิก เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งไซโตไคน์ (cytokines) และพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งผลิตจากผนังมดลูกมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก และการปวดเมนส์ 2. น้ำสมุนไพรบางชนิด ปลอดภัยที่จะดื่มและช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น น้ำขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้ น้ำราสป์เบอร์รี่ และสมุนไพรคาโมมายล์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย 3. ตังกุยสมุนไพรจีน มีสารที่ช่วยการขยายหลอดเลือดป้องกันการบีบเกร็งของหลอดเลือด แต่มีข้อเตือนว่า ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดได้
นอกจากการปรับเรื่องอาหารการกินเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างสมดุล แล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การฝึกโยคะ และการฝึกสมาธิ จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลดอาการปวดเมนส์ได้


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Health & Cuisineที่มา : วิชาการดอทคอม

13 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคหวัด


อากาศเย็นๆ ทำให้คนเป็นหวัดง่าย ใช่ โดยเฉพาะเมื่อปล่อยให้เท้าเย็น เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ทางเดินหายใจช้าลง อุณหภูมิที่คอหอยก็ลดต่ำลงด้วย ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยในเยื่อบุเมือกหดตัว ทำให้เซลล์ต้านโรคเข้าไปจัดการกับเชื้อโรคได้ไม่ทันการ ไวรัสจึงเข้าไปในอวัยวะได้และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ความเย็นก็มีข้อดีคือ หากใช้ความเย็นสลับกับความร้อน (เช่น อาบน้ำ) ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งจะช่วยให้เซลล์คุ้มกันขัดขวางไวรัสนักวิชาการสังเกตว่า การอบซาวน่าจะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวและช่วยกระตุ้นที-เซลล์ให้ขยันทำงานต้าน เชื้อโรค
ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียพบว่า การสั่งน้ำมูกจะทำให้โพรงอากาศรอบจมูกหรือไซนัสเกิดการอักเสบติดเชื้อ โดยเฉพาะการสั่งน้ำมูกแรงๆ ทั้งสองข้างพร้อมกัน ดังนั้น จึงควรสั่งน้ำมูกทีละข้างเบาๆ โดยการปิดจมูกอีกข้างหนึ่งไว้ขณะสั่งน้ำมูก
เจ็บคอ ควรกลั้วคอมากกว่าดื่มชาสมุนไพร ยังไม่มีนักวิชาการทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าสมุนไพรชนิดใดช่วยรักษาได้ แต่ทั้งสองวิธีก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ โดยกลั้วคอด้วยน้ำเกลือหรือน้ำดอกเก๊กฮวยอุ่นๆ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่คอที่อักเสบ เพราะนอกจากจะเป็นการล้างเสมหะแล้วมันยังช่วยล้างเชื้อโรคออกจากร่าง กายอย่างอ่อนโยนด้วย ยกเว้นบริเวณคอหอยที่ลึกลงไปก็จะกลั้วคอได้ไม่ถึง แต่ช่วยได้ด้วยการดื่มชาสมุนไพร เช่น ยี่หร่า, Anise, Sage หรือหากต้องการแค่ความอุ่นร้อนก็อมลูกอมสมุนไพรเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำลาย เนื่องจากน้ำลายมีเอนไซม์ เช่น Lysozyme ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ และสาร Flurbiprofen จะช่วยยับยั้งการอักเสบเมื่อรู้สึกเจ็บคอเวลากลืนน้ำลาย ดังนั้น จึงควรอมลูกอมสมุนไพรกระตุ้นน้ำลายทันทีเมื่อเริ่มมีอาการเพื่อซ่อมแซม เยื่อบุเมือกและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ที่สำคัญคือควรหาผ้าพันคอไว้ เพราะความอุ่นจะช่วยให้เซลล์นักฆ่าเข้าไปในเยื่อบุเมือกได้เร็วขึ้น
มีไข้ ต้องไล่ด้วยเหงื่อ การเป็นไข้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะการที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็เพื่อฆ่าเชื้อไวรัส และการที่มีเหงื่อออกตั้งแต่เริ่มเป็นหวัดหรือมีไข้ ก็อาจช่วยหยุดการติดเชื้อหวัดในชั่วข้ามคืน หากต้องการให้เหงื่อออก ก็ดื่มชาสมุนไพรอุ่นร้อน เพื่อขับเหงื่อวันละ 3 ครั้ง และการนอนหลับพักผ่อนก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ถ้ามีไข้มากกว่า 39 องศาเซลเซียสเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์
ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงถ้ารักษาช้า ไม่จริงควรรีบรักษาทันทีเมื่อรู้สึกคันคอ แต่คนไข้ส่วนใหญ่ มักเริ่มรักษาช้าเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราต้องหยุดเชื้อไวรัสไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น หากร่างกายยังมีแรงทำงานซ่อมแซมตัวเอง การแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนเมื่อเป็นหวัดก็คือ ให้กินวิตามินซีขนาด 1-2 กรัม สังกะสี 60 มล. และซีลีเนียม 200 ไมโครกรัม เป็นเวลา 2-4 วัน
คนที่มีความสุข ไม่ค่อยไอ ถูกต้อง เพราะความหวาดกลัวหรือความรู้สึกยินดีมีผลต่อกระบวนการชีวเคมีของมนุษย์ ซึ่งมีผลกับจำนวนเซลล์นักฆ่าและแอนตี้บอดี้ โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบภูมิคุ้มกันชาวเยอรมันกล่าวว่า ความเศร้าโศกเสียใจ ท้อแท้ หรือความเครียดเรื้อรัง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Pittsburgh ในประเทศเยอรมนีพบว่า ความเครียดที่เกิดจากปัญหาครอบครัวหรือการตกงานเป็นสาเหตุที่เสี่ยงต่อการ เป็นโรคหวัดมากที่สุดและยังทำให้กลไกของร่างกายทำงานผิดปกติด้วย โดยปกติคนที่ติดเชื้อมักอารมณ์เสียและอยากอยู่ตามลำพัง ซึ่งธรรมชาติเป็นใจให้อยากอยู่คนเดียวเพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อโรคไปติดคนอื่น
ทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไม่จริง คนที่อายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรงดีก็สามารถประหยัดเงินได้ แต่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลู เอ็นซ่า หรือผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ และหลอดเลือดก็ควรฉีดวัคซีน และควรฉีดทุกปี เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลง
เป็นหวัด แพร่เชื้อได้จนถึงวันสุดท้าย ใช่แล้ว สาเหตุของโรคหวัดส่วนใหญ่มาจากเชื้อไวรัส Rhino ซึ่งจะดอดเข้ามาบริเวณทางเดินหายใจและใช้เวลาสองสัปดาห์หลังจากเริ่มติด เชื้อและแสดงอาการให้เห็นที่เยื่อบุจมูกและก่อนที่จะสังเกตได้ว่าเป็นหวัด แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้มากที่สุด
สเปรย์พ่นจมูก อันตราย ความจริงก็คือยาหยอดจมูกหรือสเปรย์ที่มีสาร Xylometazolin และ Oxymetozoline สามารถใช้ได้ เพราะจะช่วยลดอาการคัดจมูก ทั้งนี้ การสูดอากาศหายใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มิเช่นนั้นโพรงอากาศรอบจมูกและหูชั้นกลางจะอักเสบ ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ยาเกินหนึ่งสัปดาห์ เหตุที่ยาพ่นจมูกมีชื่อเสียงไม่ดีก็เนื่องมาจากหากใช้เป็นเวลานานเกินไปก็จะ ทำลายเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูกเรื้อรังอีกทางเลือกหนึ่งที่อ่อนโยนก็คือ การใช้สเปรย์น้ำเกลือ ซึ่งจะช่วยให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น และช่วยซ่อมแซมจมูก หรือใช้สเปรย์พ่นจมูกที่มีสาร Duphorbia
เราสามารถหนีไวรัสหวัดได้ ใช่ หากเราพยายามและโชคดีเราก็สามารถหลีกหนีไวรัสหวัดได้การลดการติดเชื้อก็คือ หากอยู่ในที่แออัด เช่น ในรถเมล์ โรงภาพยนตร์ ในโรงพยาบาล หรือคลินิกก็ไม่ควรหายใจทางปาก แต่ให้หายใจทางจมูก เพราะขนจมูกจะดักจับเชื้อไวรัส นอกจากนี้ เชื้อหวัดอาจติดอยู่ตามลูกบิดประตู โทรศัพท์ ปุ่มกดลิฟต์ ฯลฯ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งมีเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็นเกาะอยู่ เนื่องจากเชื้อไวรัสหวัดสามารถชีวิตอยู่ได้นานหลายชั่วโมง หากมีไวรัสหวัดแค่ 10-20 ตัวก็เพียงพอที่จะทำให้ติดเชื้อได้ ข้อแนะนำก็คือ ควรล้างมือวันละหลายๆ ครั้ง หรือใช้ครีมทามือฆ่าเชื้อโรค
เป็นหวัด ห้ามออกกำลังกาย ไม่จริง หากไอหรือมีน้ำมูกไม่มากก็ออกกำลังกายโดยไม่หักโหมได้ แต่หลังออกกำลังกายต้องอาบน้ำอุ่นเพราะมันจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายทำการ รักษาตนเอง แต่ถ้ารู้สึกป่วยมาก ต่อน้ำเหลืองบวมหรือมีไข้ก็ไม่ควรออกกำลังกาย แต่หากเริ่มเป็นหวัด ก็ให้ออกกำลังกายช้าๆ ใช้ความเร็วแค่ครึ่งหนึ่งจากที่เคยออกำลังก็พอ
ซุปไก่ ช่วยต้านหวัด ซุปไก่เป็นยาพื้นบ้าน (ควรเป็นไก่ปลอดสารเร่งการเจริญเติบโต) โบราณของชาวเยอรมัน เนื่องจากไก่มีสารหลากหลายชนิด เช่น สังกะสี ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสหวัดเพิ่มจำนวนมากขึ้น หรือโปรตีน Cysteine จากไก่จะช่วยยับยั้งการอักเสบ ส่วนพริกหรือขิงก็มีประสิทธิภาพในการเยียวยามากขึ้น
หายหวัดแล้ว ก็จะไม่ติดหวัดอีก ไม่จริง หากหายจากโรคหวัด ก็สามารถเป็นหวัดได้อีก เพราะมีไวรัสมากกว่า 200 ชนิดที่มีส่วนทำให้เป็นหวัดได้ ดังนั้น ในทางทฤษฏี เป็นหวัดแล้วก็สามารถติดเชื้อหวัดได้อีก แต่เกราะที่จะป้องกันการติดเชื้อหวัดซ้ำก็คือการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็ง แรง
คุณเป็นหวัดเรื้อรังหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นหวัดคัดจมูกมากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วไม่หายก็อาจเกิดจากไซนัส อักเสบ แบบทดสอบนี้จะบอกว่าคุณเป็นไซนัสอักเสบหรือไม่ โดยตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
1. น้ำมูกมีสีเหลือง2. คุณปวดศีรษะอยู่3. คุณปวดต้นคอหรือปวดฟันบ่อย4. เวลาคุณก้ม จะรู้สึกมีแรงดันที่ตาหรือแก้ม5. คุณมักมีอาการปวดเวลากลางวัน6. คุณเหนื่อยหรือไม่มีแรงเรื้อรัง7. ไม่ค่อยรู้รสอาหาร
ถ้าคุณตอบว่า ใช่ มากข้อเท่าไหร่ ก็แสดงว่าคุณมีอาการอักเสบที่โพรงจมูก หากมีน้ำมูกข้นๆ ก็อาจช่วยได้ด้วยการใช้น้ำเกลือล้างจมูกร่วมกับการดื่มน้ำ หรือน้ำชาวันละ 2 ลิตร หากไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก (Lisa)

10 อาหารสุดอันตราย ที่ควรจะงดทานซะบ้าง

ข้อมูลดีๆที่นำมาฝาก เพื่อให้ทุกคนตระหนักนะไม่ใช่ตระหนก แค่ลดปริมาณก็พอไม่ถึงกับต้องเลิกกินหรอกนะ




1. แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมด จะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย





2. ฮอทด็อก เป็น อีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ และ “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง




3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝรั่งทอด เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝรั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก




4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้ จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ
5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิดคือ…
- เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..
- ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตาม จำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…
- ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…
- แป้งสาลี ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม
- มีน้ำมันฝ้าย ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ เอาไว้ได้มากที่สุด
ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามัน ปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย




6. น้ำอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออก จากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสังเคราะห์ เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย


7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน 340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี “สารอลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย



8. ไอศกรีม มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfat) ไปจากธรรมชาติ และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง



9. โดนัท โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่ โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน มีเกลือโซเดียมสูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิที่สูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษ และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น



10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง ในปัจจุบันมีการบริโภค “โปเตโต้ซิพ”กันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้ การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว

ที่มาจาก : http://board.postjung.com/

































ขนมถุง อันตรายที่ซ่อนในความเค็ม





กินขนมถุงเยอะขึ้น ไตถูกทำลายมากขึ้น
ทำความรู้จักกับ โซเดียม
โซเดียมเป็นสารอาหารที่สำคัญในตระกูลเกลือแร่ โซเดียมจัดอยู่ในกลุ่มอีเลคโทรไลต์ เมื่อละลายน้ำจะแยกตัวออกเป็น ไอออนที่มีประจุไฟฟ้าบวก โซเดียมมีมากที่สุดที่น้ำนอกเซลล์ โดยควบคุมความดันออสโมติกเพื่อรักษาปริมาณของน้ำนอกเซลล์ โซเดียมจะถูกดูดซึมได้ตลอดทางเดินอาหาร น้อยที่สุดที่กระเพาะอาหาร และมากที่สุดที่ลำไส้เล็กส่วนกลาง โซเดียมยังช่วยรักษา ความเป็นกรดและด่างของร่างกาย ช่วยนำซูโครสและกรดอะมิโน ไปเลี้ยงร่างกาย
ความสำคัญของ ไต
ไต เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายมีขนาดประมาณกำปั้นของผู้เป็นเจ้าของรูปร่าง คล้ายถั่วแดงอยู่ด้านหลังทั้ง 2 ข้างของลำตัว ในแนวระดับของกระดูกซี่โครงล่าง (หรือเอง หรือเหนือระดับสะดือ) มีหน้าที่หลักในการขัดกรองของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากเลือด และยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ และกรดด่างในร่างกาย หลั่งฮอร์โมนช่วยควบคุมความดันโลหิต หลั่งฮอร์โมน ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง และสร้างวิตามิน ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตหากไตไม่ทำงาน หรือทำงานไม่เพียงพอ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ หรือมีโรคแทรกจะทำให้ระดับของเสีย และปริมาณน้ำคั่งค้างในร่างกาย หรือในเลือด จะปรากฏอาการเหล่านี้ คือ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ มีอาการบวมที่มือและเท้า ปวดหลังในระดับชายโครง
ความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยที่เกิดภาวะไตวายระยะสุดท้าย มีสาเหตุที่สำคัญมาจากเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ต้องรักษาโดยการล้างไต หรือผ่าตัดเปลี่ยนไต หากรักษาโรคทั้งสองนี้ได้ก็จะทำให้โรคไตที่เกิดขึ้นทุเลา หรือชะลอการเปลี่ยนแปลงได้
โซเดียมมีความสัมพันธ์กับไตอย่างไร
ไตมีหน้าที่ขจัดของเสีย ยา สารพิษที่ละลายในน้ำออกทางปัสสาวะ
ดูดซึมและเก็บสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
รักษาปริมาณน้ำในร่างกาย โดยสงวนเก็บน้ำไว้ระบายน้ำส่วนที่ร่างกาย ไม่ต้องการออกจากร่างกาย
รักษาปริมาณของโซเดียมในยามที่ร่างกายขาดโซเดียม ระบายโซเดียมที่มากเกินต้องการออกทางปัสสาวะ ในกรณีที่ได้รับโซเดียมมากเกินไป
ดัง นั้นถ้าไตปกติจึงไม่มีอันตรายจากโซเดียมคั่งค้าง ไตมีหน้าที่ขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย โซเดียมจะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ บางส่วนจะออกมาทางอุจจาระและเหงื่อ และเมื่อสมรรถภาพของไตเสื่อมลง การคั่งของของเสียจะเกิดขึ้น รวมทั้งไตไม่สามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกได้ ทำให้โซเดียมคั่งอยู่ในเลือด ทำให้ผู้ป่วยโรคไตจำเป็นต้องลดการบริโภคอาหารที่มีเกลือโซเดียมน้อยลง
คนปกติมีความต้องการโซเดียมประมาณ 1,100-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน เราได้โซเดียมจากอาหารรวมกับคลอไรด์ ในรูปของโซเดียมคลอไรด์ที่เรียกว่า เกลือแกง นอกจากนี้จะได้โซเดียมจากเครื่องปรุงรสทุกชนิด ที่มีเกลือแกงเป็นองค์ประกอบ เช่น น้ำปลา ผงชูรส ซอสซีอิ้วปรุงรส กะปิ อาหารหมักดอง ผัก-ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาเค็ม ฯลฯ การรับประทานขนมถุงที่ มีเกลือโซเดียมในปริมาณมาก หรือทานทีเดียวหลาย ๆ ถุงจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเพิ่มมากขึ้นจากอาหารปกติ ทำให้มีปริมาณโซเดียมส่วนเกินคั่งอยู่ในเลือดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ไตถูกทำลายมากขึ้น


ข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค