WELCOME

ยินดีต้อนรับ สู่ KhunPlaiR







วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออก
เฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียว
หรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะ
ในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิด
โรคอัลไซเมอร์
นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-
ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง
อันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย
1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผล
ได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า

ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่อง
การดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูก
ผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ"

ทานฟาสต์ฟู้ดบ่อยเกินไป อาจทำให้คะแนนสอบต่ำลง

การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปไม่เพียงแค่ทำให้น้ำหนักตัวมากเกินไปเสียแล้ว
แต่ยังทำให้ผลคะแนนสอบต่ำลงด้วย จากงานวิจัยของคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัย
แวนเดอบิลท์ ที่รัฐเทนเนสซี ที่ทำการศึกษากับนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน
5,500 คน โดยการติดตามพฤติกรรมการกินของเด็กนักเรียน อายุ 10-11 ขวบ
แล้วเปรียบเทียบกับผลการทดสอบวิชาการอ่าน และวิชาคณิตศาสตร์

ในภาพรวมเด็กนักเรียนจะทำคะแนนในการทดสอบได้ระหว่าง 58-181 คะแนน
ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 141.5 คะแนน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนครั้งที่ทานฟาสต์ฟู้ด
พบว่า นักเรียนเกินกว่าครึ่งที่ทานฟาสต์ฟู้ดมากกว่า 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ก่อนสอบ
ได้คะแนนสอบต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ดังนี้

คนที่ทาน 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำคะแนนสอบได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 7 คะแนน, คนที่ทาน 1 ครั้งต่อวัน ทำคะแนนสอบได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 16 คะแนน และคนที่ทาน
3 ครั้งต่อวัน ทำคะแนนสอบต่ำลงถึง 19 คะแนน จากงานวิจัยครั้งนี้จึงสรุปได้ว่า
การทานฟาสต์ฟู้ดที่บ่อยมากขึ้นนั้น มีความสัมพันธ์กับการที่คะแนนสอบต่ำลง

แม้ว่างานวิจัยนี้จะไม่ได้วิจัยถึงผลกระทบต่อสมองโดยตรง เพียงแต่วัดจากคะแนน
ทำสอบ และความบ่อยในการทานฟาสต์ฟู้ดเท่านั้น แต่เพื่อความไม่ประมาท
ควรทานอาหารที่มีคุณค่าในแต่ละวันให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อประโยชน์
สูงสุดต่อระบบการทำงานของร่างกาย

ผักจำพวกกะหล่ำทานนึ่งดีกว่าต้ม

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่า
การต้มผักอย่างบร๊อคโคลี่ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก จะทำให้สารที่เป็นคุณประโยชน์
ในการต่อต้านโรคมะเร็งลดลงถึง 75%

จากผลการวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่า ผักเหล่านี้มีสาร "กลูโคซิโนเลตส์"
(Glucosinolates) ที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
กระเพาะปัสสาวะ และปอดลงได้ถึง 60%
แต่ไม่เคยทราบว่า การเก็บรักษา
และการหุงต้ม จะทำให้มันเสียหายลงหรือไม่

หัวหน้านักวิจัย ปอล เจ ทอมมอลเลย์ แห่งโรงเรียนแพทย์วอร์วิค กล่าวว่า
เพื่อเป็นการรักษาสารตัวนี้ไว้ คุณควรนึ่งผักประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
เพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ และรักษาคุณค่าในการป้องกันโรคมะเร็ง
ไว้ได้ถึง 80%


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด

อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเอง
มองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้

1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถ
อยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่น
ถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15
จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือก
ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น

2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ

3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า..
มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ
และไหม้ของผิวหนัง

หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้น
ส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆ
ก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%
ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้ง
ควร สวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด
เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันที
ถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน

การใช้สายตาอย่างถูกต้องและเหมาะสม

นอกจากรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับการดูแล
ดวงตาของคุณให้สวยใสอยู่เสมอ แต่คุณต้องใส่ใจและถนอมดวงตาของคุณไว้
เพื่อให้อยู่กับคุณไปนานๆ โดยการใช้สายตาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้

อ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และถือหนังสือห่างจากดวงตา
ประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรอ่านหนังสือเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ
ควรพักสายตาประมาณ 30-45 นาที เมื่อคุณรู้สึกปวดเมื่อยตา
ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และควรนั่งห่างจากจอโทรทัศน์
ประมาณ 5 เท่าของขนาดโทรทัศน์
ไม่ควรจ้องมองพระอาทิตย์เป็นเวลานานๆ
ควรสวมแว่นตาทุกครั้งที่ต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด หรือขับขี่รถยนตร์
หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่น
เตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ
เวลาที่เศษผงเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาด
หรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน
ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ ควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้ง
เพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา
ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตราย
ต่อดวงตา

เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา ไม่ควรกดนวดดวงตา หรือกรอกดวงตาไปมา
แต่ควรหลับตาประมาณ 20 -30 นาที
ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา ยาหยอดตา ร่วมกับผู้อื่น
คุณควรปิดไฟนอน เพื่อเป็นการพักสายตา และยังช่วยประหยัดไฟได้อีกด้วย
ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน
คุณควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อดีของการดื่มน้ำบรรเทาหวัด

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูแลสุขภาพเป็นพิเศษมักเป็นหวัดได้ง่าย "โรคหวัด" เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้มีอาการปวดศรีษะ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ จาม มีเสมหะ ถ้าไม่ดูแลรักษาตัวให้ดีอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้

เมื่อเป็นหวัดแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตรเพราะน้ำสามารถช่วยเยียวยาร่างกายให้หายจากหวัดได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่ว่า..

1. น้ำช่วยละลายเสมหะไม่ให้เหนียว โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น
2. ช่วยลดไข้หากไข้ขึ้นสูง น้ำนี่แหล่ะที่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นลงได้
3. ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
4. ช่วยให้เยื้อบุจมูกที่บุช่องทางเดินหายใจส่วนบนทำหน้าที่ได้ดีขึ้น จึงช่วยลด อาการคัดจมูก
5. ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอักเสบ
6. ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นจากอาการไข้ได้เร็วขึ้น

นอกจากนั้น หากอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติมากขึ้น แนะนำให้ลองดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เพราะวิตามินซีช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น

ส่วนคนที่มีอาการเจ็บคอสามารถบรรเทาอาการโดยใช้เกลือละลายน้ำอุ่นกลั้วคอ 2-3 วันติดต่อกันอาการจะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยาค่ะ

7 วิธีที่ช่วยลดโลกร้อน ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

1. อัพเกรดอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างในเครื่องคอมฯ ของคุณ

เนื่องจากว่าอุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ก็มักจะประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณยังใช้หน้าจอแบบเก่าที่เราเรียกว่า จอภาพแบบ CRT แล้วก็ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบจอภาพ LCD เป็นต้น

2. หลืกเลี่ยงอุปกรณ์ที่กินไฟมากเกินความจำเป็นวิธี

นี้สำหรับคนที่มีเครื่องคอมฯ ที่ค่อนข้างเก่านิดนึง ซึ่งจะมีอุปกรณ์บางชิ้นที่กินไฟมากกว่าที่ควร เช่น การ์ดจอที่ออกแบบมาสำหรับนักเล่นเกมส์ ก็มักจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ในขณะเดียวกันก็จะมากับความร้อนที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปด้วย

3. ลดความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์

วิธีนี้ก็สามารถลดการใช้พลังงานของหน้าจอได้เหมือนกัน แต่ก็อย่าลดมากเกินไป จนทำให้เราต้องใช้สายตาเพ่งมอง มากกว่าปกตินะคะ

4. ปิดอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้งานตามปกติ

ตัวอย่างเช่น ลำโพง เครื่องพรินเตอร์ สแกนเนอร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าเราไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ ก็ควรจะปิดสวิทช์ของเครื่อง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ควรที่จะชักปลั๊กออกด้วย ซึ่งวิธีนี้ทำให้เราประหยัดค่าไฟได้อีกทางนึง

5. ปิดโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ

เช่นโปรแกรมที่จะคอยค้นหา สัญญาณต่างๆ เช่น bluetooth, wireless เป็นต้น ซึ่งถ้าเราไม่ได้ใช้พีเจอร์พวกนี้ เราก็ควรจะปิดไว้เป็นการชั่วคราวก่อนก็ดีนะครับ

6. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน

ในคอมพิวเตอร์บางเครื่อง จะมีโหมดประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถทำให้เครื่องคอมฯ กินไฟได้น้อยลงเหมือนกัน

7. ปิดเครื่องคอมฯ ไปเลย

เราไม่ได้กวนนะค่ะ แต่ถ้าหากพวกเราไม่ได้ใช้งาน เราก็ควรปิดเครื่่องไปเลยใช่มั๊ยครับ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราประหยัดพลังงานแล้ว ยังทำให้เรายืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ของเราได้ด้วยนะคะ