WELCOME

ยินดีต้อนรับ สู่ KhunPlaiR







วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แก้สะอึก

เทคนิคหยุดอาการสะอึก มีหลายวิธี การศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า การกลืนน้ำตาลทรายเปล่าๆ 1 ช้อนโต๊ะ สามารถแก้อาการสะอึกได้ถึง 19 คน จากจำนวน 20 คน

นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธี ได้แก่
- สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้สักพัก
- หายใจในถุงกระดาษ
- กลืนน้ำแข็งบดละเอียด
- เคี้ยวขนมปังแห้ง
- บีบมะนาวให้ได้สัก 1 ช้อนชา แล้วจิบแก้สะอึก
- ก้มตัวดื่มน้ำจากขอบแก้วด้านตรงข้ามหรือด้านที่ไกลจากริมฝีปาก
- จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ หลายๆ อึก ติดๆ กัน
- ใช้นิ้วมืออุดหูประมาณ 20-30 วินาที
- อุดหูไปด้วย แล้วดูดน้ำจากหลอดไปด้วย
- แหงนหน้า กลั้นหายใจ นับ 1-10 จากนั้นหายใจออกทันที แล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
- ใช้นิ้วคีบลิ้นแล้วดึงออกมาเบาๆ หรือแลบลิ้นออกมายาวๆ
- กดจุด โดยออกแรงบีบเนินใต้นิ้วโป้งของมืออีกข้างหนึ่ง หรือกดบริเวณร่องเหนือริมฝีปาก
- นวดเพดานปาก
- ทำให้ตกใจ เช่น ตบหลังแรงๆ โดยไม่ให้รู้ตัวก่อน
- ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบา ๆ ให้เรอ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โหระพา บรรเทาโรคเข่าเสื่อม

คนโดยทั่วไปอาจรู้สรรพคุณของโหระพาแค่เรื่องช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด
แน่นท้อง หรือนำมาเป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ถ้าเปิดตำราหนังสือแพทย์จะพบว่า
โหระพามีสรรพคุณมากกว่านั้นคือ สามารถรักษาโรคเข่าเสื่อมได้

โดยการนำโหระพาทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้ง กะพอประมาณใช้พอกเข่าได้มิด
จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด ตำพอละเอียดใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อยคนให้เข้ากัน
ก่อนนำไปตั้งไฟแค่พอร้อน (ไม่ต้องถึงกับเดือด) ทิ้งไว้ให้อุ่น นำไปพอกเข่าประมาณ
10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง

ที่มา: นิตยสาร Lisa weekly คอลัมน์ Health News vol.6 no.42 วันที่ 27.10.2005

เลิกดื่มน้ำเย็น

บางครั้งที่เหน็ดเหนื่อยมีเหงื่อมาก กระหายน้ำ การดื่มน้ำเย็นเข้าไปในทันทีอาจไม่ให้ผลดีต่อร่างกายนัก

การดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วต่อวันจะมีประโยชน์ เพราะน้ำช่วยหล่อลื่นให้ระบบต่างๆ
ทำงานได้ดีขึ้น ระบบขับถ่ายดี ผิวพรรณสดใส แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็นน้ำที่สะอาด
บริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิเดียวกับอุณหภูมิห้อง

การดื่มน้ำเย็นเกินไปเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร
หดตัวลง กว่าเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึม ต้องใช้เวลานานพอสมควร
ในการปรับอุณหภูมิก่อนดูดซึม จึงมักเกิดอาการจุกหน้าอกเมื่อกระหายน้ำ
แล้วดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไป ขณะที่น้ำธรรมดาที่อุณหภูมิห้อง ( 35 ºc )
ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้เลย

ที่มา: นิตยสารชีวจิต ปีที่ 2 ฉบับที่ 29 ธ.ค. 2542

ทำไมเสื้อกล้ามที่เป็นตาข่ายห่างๆ จึงทำให้ท่านอบอุ่น


แน่ล่ะถ้าท่านสวมเสื้อกล้ามตาข่ายห่างๆ ตัวเดียว มันจะไม่ทำให้ท่านอบอุ่นได้เลย มันจะทำให้ท่านอบอุ่น ก็ต่อเมื่อท่านได้สวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อกล้ามนั้นอีกทีหนึ่ง การสวมเสื้อเชิ้ตทับนั้น จะขังอากาศที่อยู่ตามรูเสื้อกล้ามมากมาย รูอากาศเปล่านี้จะกันไม่ให้ความร้อนจากร่างกาย หนีไปที่อื่นได้ จึงทำให้ท่านรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

ขนสัตว์ และขนนกก็มีลักษณะเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาข้างบนนี้ สัตว์และนกเหล่านั้นจะอบอุ่นด้วยรูตามขนมากมายในตัวของมัน

ที่มา: หนังสือวิทยาศาสตร์ 5 นาที ชุดที่ 2
โดย อำนาจ เจริญศิลป์

เปลือกส้มเปลือกมะนาว ช่วยให้ครัวหอม

หลังจากทำอาหารเสร็จแล้ว กลิ่นของอาหารมักจะยังคงติดอยู่ตามผนัง และที่ต่างๆ
ในครัว วิธีแก้ไขให้กลิ่นหมดไปแถมช่วยเปลี่ยนให้ห้องครัวมีกลิ่นหอม ทำได้ด้วยการ
นำเปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวไปอบในเตาไฟอ่อนประมาณ 200-300 องศา
ฟาเรนไฮต์ นาน 4 นาที แล้วเปิดเตาอบออกให้กลิ่นหอมของส้มหรือมะนาวกระจายไป
ทั่วครัว วิธีนี้นอกจากทำให้ครัวหอมสดชื่นแล้ว ยังช่วยไล่ยุงและแมลงต่างๆ ได้อีกด้วย
( หากไม่มีเตาอบนำเปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ ก็ได้ )

ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.5 no.33 วันที่ 28.10.2004

วัวกระทิงไม่ชอบสีแดงจริงหรือ

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า วัวกระทิง (bison) ไม่ชอบสีแดง นักสู้วัวกระทิ้งจึงใช้ผ้าคลุม
สีแดงเพื่อยั่วให้วัวโกรธ เรื่องนี้มีการทดสอบมาแล้วหลายครั้งหลายหน ปรากฎว่า
วัวมีประสบการณ์ต่อสิ่งแวดล้อมที่มีสีดำกับขาว และอาจเห็นสีเทาแก่กับเทาอ่อนได้

นอกจากนี้ยังได้ทดลองกับสัตว์อื่นๆอีกปรากฎว่า มีลิงเท่านั้นที่สามารถเข้าใจในเรื่อง
สีต่างๆได้ ดังนั้น สีแดงจึงไม่มีผลต่อความรู้สึกของวัวเลย
ถ้าเช่นนั้นทำไมมาทาดอร์
(นักสู้วัวในกีฬาสู้วัวของสเปน) จึงชอบใช้ผ้าคลุมสีแดงยั่ววัวให้โกรธ

คำตอบอาจมีว่า สีแดงช่วยทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น ผ้าคลุมสีแดงจึงมีไว้ยั่วผู้ชมมากกว่า
กีฬาสู้วัวถึงแม้จะดูสนุกแต่ถ้าพลาดขึ้นมาละก็ ชีวิตของนักสู้วัวเรียกได้ว่าไม่ตายก็พิการ
เอาง่ายๆ เชียวล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นคนสเปนเขาก็ยังนิยม และชอบดูกีฬาสู้วัวประเภทนี้
อยู่ดีนั่นแหละ

ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.5 no.36 วันที่ 18.11.2004

ในข้าวกล้องมีสารก่อมะเร็งจริงหรือ ?

ตอบอย่างง่ายๆ ก็คือ จริงค่ะ แต่ถ้าตอบอย่างยากๆ ก็ต้องอธิบายกันยาวเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง คงจะสังเกตกันนะคะว่า ข้าวกล้องที่อยู่ในจานบางเม็ดมีสีน้ำตาลเข้มหรือดำแต้มอยู่มาก หรือเกือบทั้งเม็ด ตรงส่วนนี้แหละค่ะนักวิทยาศาสตร์ไทยได้สังเกตเช่นกัน และได้ลองนำไปเพาะเชื้อดู ปรากฏว่าเป็นเชื้อราแอสเปอร์จิรัส ซึ่งเป็นเชื้อราที่สร้างสารอะฟลาท็อกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับ (ที่เคยทำให้เราตกใจมาแล้วกับเรื่องถั่วลิสง)
อย่างงี้รับประทานข้าวกล้องก็ไม่ดีนะสิ ?
รับประทานข้าวกล้องนั้นดีแน่ค่ะ มีประโยชน์กว่าข้าวขาวหลายเท่า ทราบมั้ยคะว่าเจ้าเชื้อรานี้ขึ้นเฉพาะในข้าวกล้องไม่ขึ้นในข้าวขาว ก็เพราะข้าวกล้องมีเยื่อบางๆ ที่หุ้มอยู่ซึ่งเยื่อบางๆ นี้แหละที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ต่อพวกเชื้อรา ซึ่งในข้าวขาวจะถูกขัดสีออกไปหมดแล้ว เชื้อราจึงไม่ขึ้น เห็นความฉลาดของเจ้าเชื้อรามั้ยคะ

แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย ?

1.ให้เลือกซื้อข้าวกล้องที่ขัดสีใหม่ๆ (แต่คงไม่ต้องถึงกับสีข้าวหรือตำข้าวรับประทานเองหรอกนะคะ)
2.ให้คัดเลือกเม็ดข้าวที่เสีย เม็ดลีบ เม็ดไม่สมบูรณ์
3.อย่าเก็บข้าวกล้องไว้ในที่ชื้น เพราะจะทำให้ราขึ้นง่าย

เท่านี้แหละค่ะไม่ยากเลย ข้าวกล้องนั้นมีประโยชน์มากมาย ถ้าเรารู้ข้อดี ข้อเสียของมัน และกำจัดข้อเสียออก เก็บข้อดีไว้ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งค่ะ

ที่มา: แพทย์หญิง กนกวรรณ พรประสิทธิ์